วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หลวงพ่อสมบุญ ปิยธมโม วัดลำพันบอง จ.สุพรรณบุรี

    หลวงพ่อสมบุญ ปิยธมโม เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พุทธศักราช 2465 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ เป็นคนไทย เชื้อสายลาว ภูมิลำเนาอยู่ที่บ้าน หนองอีเงิน ต.ห้วยขมิ้น อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.ด่านช้าง) โยมบิดาชื่อ คำ โยมมารดาชื่อ ถิน นามสกุล ชมชื่น อาชีพทำไร่ ทำนา มีพี่น้องทั้งสิ้น 6 คน หลวงพ่อเป็นบุตรคนโต มีน้องชายอีก 2 คน และน้องสาวอีก 3 คน

    ในวัยเด็กได้เรียนหนังสือกับพระที่วัดวังกุ่ม ต.ห้วยขมิ้น เป็นระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 ปี เหตุที่ไม่ได้เรียนหนังสือคือ สืบเนื่องจากท่านมีภาระต้องแบ่งเบา จึงต้องละทิ้งการเรียนเพื่อช่วยครอบครัวประกอบอาชีพในฐานะพี่ชายคนโต

    ล่วงถึงพุทธศักราช 2485 พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีอายุครบ 20 ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทตามประเพณีที่ วัดป่าสะแก มี พระครูวิสิทธิ์สิทธิการ (อาจารย์เพชร) เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาที่วัดป่าสะแกประมาณ 2 พรรษา จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดต่างๆ ในละแวกนั้นอีก 4 สำนัก คือ วัดดอนมะเกลือ 2 พรรษา วัดวังคัน 3 พรรษา วัดวังกุ่ม 2 พรรษา และวัดดอนเก้าอีก 2 พรรษา จากนั้นจึงกลับมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนมะเกลือเมื่อปี 2498 รวมระยะเวลาในการจาริกจำพรรษายังอารามต่างๆ ประมาณ 13 พรรษาเศษ


    หลวงพ่อสมบุญ ปิยธมโม วัดลำพันบอง ต.หนองโพธิ์ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ชีวิตของหลวงพ่อดูท่าจะรุ่งเรืองในร่มเงาของผ้ากาสาวพัสตร์ หากแต่เป็นด้วยภาระทางครอบครัว เมื่อเห็นว่าท่านบวชนานจนสมควรแก่เวลา ญาติพี่น้องจึงขอร้องให้ลาสิกขา หลังจากครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนมะเกลือได้เพียงแค่ 2 ปี

    เนื่องจากโยมบิดาและโยมมารดาเริ่มเข้าวัยชรา ทำให้ท่านผู้ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลมีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกมาเพื่อดูแลครอบครัว ล่วงเข้าปีพุทธศักราช 2499 หลวงพ่อสมบุญ จึงจำต้องลาสิกขาออกมาสู่เพศฆราวาส เมื่อลาสิกขาออกมาโยมมารดาของท่านเกรงว่าลูกชายจะหนีไปบวชอีกครั้ง จึงจัดการให้ท่านแต่งงานกับ นางสาวสุวรรณ สะราคำ ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวนายดิน-นางแก้ว สะราคำ ชาวบ้านดอนมะเกลือ ต.ป่าสะแก เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วได้ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา ช่วยบิดา-มารดาอยู่ไม่นาน จึงย้ายนิวาสสถานมาเปิดกิจการขายของที่บ้านทับละคร เขต อ.ด่านช้าง ครั้นเมื่อย้ายมาอยู่บ้านทับละครได้ประมาณ 6 เดือน นางสุวรรณผู้เป็นภรรยาได้ถึงแก่กรรม เนื่องจากไข้ป่าที่แทรกซ้อนมาจากการคลอดบุตร เมื่อภรรยาเสียชีวิตท่านจึงยกลูกสาววัยแบเบาะให้ญาติฝ่ายภรรยาอุปการะ แล้วหันหลังให้โลกวิสัย ตั้งใจบวชจนตายคาผ้าเหลือง ส่วนลูกสาวคนเดียวของท่านเมื่อลืมตาดูโลกอยู่ได้ประมาณ 4 เดือนก็เสียชีวิต ทำให้ท่านหมดสิ้นซึ่งห่วงร้อยรัดตัดสิ้นในทางโลกโดยสิ้นเชิง หลวงพ่อจึงหวนกลับสู่เพศบรรพชิตอีกครั้งหลังจากที่ลาสิกขาออกไปได้เพียงแค่ 1 ปี กับ 3 เดือน

    ต้นปีพุทธศักราช 2501 เสร็จสิ้นงานฌาปนกิจศพนางสุวรรณผู้เป็นภรรยา พระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงเข้าสู่พัทธสีมาอีกครั้ง มี พระอธิการกัณหา* วัดป่าสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ (*ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูสุขุมวิหารการ เจ้าคณะตำบลป่าสะแก)

    ภายหลังจากอุปสมบทแล้วได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดวังคอไห 1 พรรษา ย้ายไปวัดดอนมะเกลือ 2 พรรษา แล้วย้ายกลับมาอยู่วัดป่าสะแกอีก 4 พรรษา จนล่วงถึงพุทธศักราช 2507 (หลังจากอุปสมบทได้ 7 พรรษา) จึงรับอาราธนามารักษาการเจ้าอาวาส วัดลำพันบอง เขต อ.หนองหญ้าไซ จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2511 รับภาระดูแลปกครอง วัดลำพันบอง จนรุ่งเรืองตราบจนปัจจุบัน นับได้ 49 ปีบริบูรณ์

    คชสิงห์ รุ่นแรก สร้าง 399 ตัว จารึกหมายเลขและนามย่อ ลบ. หมายถึง หลวงพ่อสมบุญ ปลุกเสกวันที่ 28 เม.ษ. 2556 แหวนหน้าโล่รุ่นสอง หน้าเล็ก จารึก ลบ. ๘๓ เนื่องจากแหวนรุ่นแรกโด่งดังมาก่อนหน้า จึงกลายเป็นของดีที่หวงแหนในท้องถิ่น (คนส่วนใหญ่มักจะนำขึ้นหิ้งเก็บเงียบกันหมด) แหวนรุ่นสองจึงถือเป็นแหวนรุ่นประสบการณ์ เพราะคนส่วนใหญ่ถือว่าเป็น “รุ่นใช้” ส่วนรุ่นแรกนั้นยกไว้เป็น “รุ่นโชว์” แหวนหน้าโล่รุ่นสอง หน้าเล็ก จารึก ลบ. ๘๓ เนื่องจากแหวนรุ่นแรกโด่งดังมาก่อนหน้า จึงกลายเป็นของดีที่หวงแหนในท้องถิ่น (คนส่วนใหญ่มักจะนำขึ้นหิ้งเก็บเงียบกันหมด) แหวนรุ่นสองจึงถือเป็นแหวนรุ่นประสบการณ์ เพราะคนส่วนใหญ่ถือว่าเป็น “รุ่นใช้” ส่วนรุ่นแรกนั้นยกไว้เป็น “รุ่นโชว์”

    ปฏิปทา
    หลวงพ่อเป็นพระผู้ทรงรัตตัญญู มีอาวุโส (วัยวุฒิ) สูงยิ่งอีกรูปหนึ่งของจังหวัด สุพรรณบุรี นับถึงปัจจุบันคือ 91 พรรษา (เท่ากับหลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่ แต่หลวงพ่อแก่เดือนกว่า) ดำรงมั่นในพระธรรมวินัยมาโดยเคร่งครัดมิได้ด่างพร้อยเศร้าหมอง หมดจดงดงาม สมหน่อเนื้อพระชินวรณ์อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญคือพระเดชพระคุณท่านประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม 4 ประการ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ประกอบด้วย เมตตา กรุณา ปรากฏแก่สาธุชนมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นสัตบุรุษ ผู้รู้จักเหตุและผลเป็นที่ตั้ง ไม่มัวเมาลุ่มหลงในโลกธรรม มีวาจาเป็นมงคล แยบคายในปฏิสันถาร ทั้งยังรู้จักถนอมจิตใจของสาธุชนทั้งใกล้ไกลไม่มียกเว้น ไม่จำกัดว่ายากดีมีจน ท่านสงเคราะห์ให้จนหมดสิ้น มิมีผู้ใดที่มากราบท่านแล้วจะพบกับความผิดหวัง ที่สำคัญยิ่งคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระผู้มีอารมณ์ขัน เป็นที่ติดตราตรึงใจสาธุชนผู้สนทนาธรรมมาโดยตลอด

    กิจวัตรที่กระทำมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงวัยชราคือ การปัดกวาดลานวัด เมื่อถึงเวลาเย็นท่านจะเดินถือเสียมประจำตัวลงมานั่งยองๆ เพื่อถากหญ้าอยู่กลางลานวัด เป็นที่ชินตามาอย่างยาวนาน มีเรื่องขำขันเล่ากันว่า เมื่อสาธุชนบ้านไกลมาหาท่าน ครั้นพอเห็นหลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาถือเสียมถากหญ้าอยู่กลางลานวัด จึงเอ่ยปากถามถึง หลวงพ่อสมบุญ ว่าอยู่ (บนกุฏิ) หรือไม่ ท่านเฉไฉแกล้งตอบไปว่า บ่ อยู่ ดอก หลวงพ่อสมบุญ บ่ อยู่ ท่านบ่ว่าง พอเสร็จสิ้นภารกิจท่านก็เดินถือเสียมตามโยมขึ้นไป เสร็จสรรพก็เข้าไปนั่งรับแขกยังอาสนะในนาม หลวงพ่อสมบุญ ตามเดิม เป็นที่ขำขันกันในหมู่ลูกศิษย์ใกล้ไกลมาโดยตลอด

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระเถระผู้มากด้วยคุณธรรม มโนธรรม ละโลภ โกรธหลงได้อย่างวิเศษ สมกับคำนำหน้าที่ข้าพเจ้าของแต่งเติมเสริมเป็นสร้อยทินนามด้วยคำว่า พระเดชพระคุณ กล่าวคือ ประกอบด้วย พระเดช อันยิ่งยงด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และปฏิบัติตรง ดำรงตั้งมั่นอยู่ใน ฌานอภิญญา ประกอบกับสรรพวิชาพุทธาคมที่ร่ำเรียนมาจากครูอาจารย์ ก่อเกิดคำว่า ความเข้มขลัง ทางเวทมนต์อันจะกล่าวถึงในช่วงต่อไป

    สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคำว่าพระเดช นั่นคือคำว่า พระคุณ ซึ่ง หลวงพ่อสมบุญ ได้ถือสงเคราะห์เหมาะสมกับคำว่า พระคุณ เป็นที่สุด ซึ่งคำนี้เองที่ทำให้คุณธรรมวิเศษที่ปรากฏในดวงจิต มีความสว่างไสว หนักแน่นมั่นคง ทรงความแก่กล้า ด้วยท่านละความโลภโดยสิ้นเชิง กล่าวกันว่า ใครผู้ใดก็ตามถ้ากล้าขอ รับรองได้ว่า จะไม่มีวันได้รับการปฏิเสธจากปากพระเดชพระคุณหลวงพ่อแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเลวร้ายมาจากที่ใดก็ตาม ว่ากันว่าผู้ที่ได้รับจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปมากที่สุดนั้น แท้จริงไม่ใช่ศิษย์ใกล้ชิด ไม่ใช่คนสนิท แต่เป็นคนที่กล้าขอ เรียกได้ว่าใครก็ตามที่ ขอมาก หรือ เอ่ยปากขอบ่อยๆ ย่อมได้จากหลวงพ่อมากพอๆ กับความกล้าของบุคคลนั้น เท่าที่รับฟังจากปากชาวบ้านย่านนั้นล้วนกล่าวตรงกันว่า ไม่มีใครสักคนที่เอ่ยปาก ขอ หลวงพ่อแล้วจะไม่มีคำว่า ไม่ ฟังความได้ว่า ขอหมื่นก็ต้องได้หมื่น ขอแสนก็ต้องได้แสนเป็นเช่นนี้เสมอๆ ทาน ที่หลวงพ่อกระทำนอกจากจะทำได้ยากแล้วยังได้ชื่อว่า หาผู้ทำทานเช่นนี้ยากยิ่งนัก เพราะทานประเภทนี้พบได้แต่เพียงพระอริยบุคคลเท่านั้น ด้วยเป็นทานที่ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่หวังชาตินี้หรือชาติหน้า เป็นทานที่ทำให้ผู้สละหมดสิ้นซึ่งความตระหนี่ ทานเช่นนี้จึงหมดจดงดงาม ยากจักหาใครเทียม เรื่องเงิน 4 ล้านตามคำกล่าวหาได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เป็นเงินส่วนตัวที่ท่านยกให้ ส่วนผู้ที่ได้จะนำไปทำสิ่งใด จะขาดทุนหรือกำไรท่านว่ามันเป็นกรรมของมัน


    ด้วยเหตุที่ท่านไม่เคยขัดใจใคร ทั้งยังไม่เคยหวงห้ามใคร ใครของอะไรท่านให้ทั้งหมด เพียงแค่นิ่ง หรือคำว่า อือ เพียงแค่คำเดียว นี่คือ หลวงพ่อสมบุญ เนื้อนาบุญของคน สุพรรณบุรี เรื่องนี้ ครูอุดม กับ ผ.อ.สวง วงษ์สุวรรณ ให้ความเห็นที่ตรงกันว่า สำหรับ หลวงพ่อแล้วใครก็ได้ ล้วนแต่ได้เหมือนกัน การ ให้ เช่นนี้เหมือนการให้ทานของพระอริยเจ้า อันเป็นทานที่เราๆ ท่านๆ จะไม่มีวันได้เห็นจากพระรูปใด (เท่าที่ทราบมีเพียง หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ เท่านั้น ที่ให้ทานแบบเดียวกันกับ หลวงพ่อสมบุญ ) เป็นไปอย่างงดงามด้วยประการฉะนี้ เป็นจริงมาอย่างยาวนานและจะเป็นเช่นนี้ตลอดกาล สมดังคำพูดตอนหนึ่งซึ่งอาจารย์อุดมบันทึกไว้ว่า เพิ่นคงจำเป็น ถ้าไม่เดือดร้อนเพิ่นคงไม่มาพึ่งพาพระหรอก ถ้าเฮาช่วยเหลือ คงเกิดประโยชน์ต่อเพิ่นมาก เงินหมดก็บ่เป็นหยัง เพราะเฮาเฒ่าแล้ว ตายไปก็เอาเงินติดตัวไปบ่ได้ เหลือแต่ความดีติดตัวไปก็พอ สาธุ กราบหลวงพ่อครั้งที่ 1 สำหรับพระผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ

    แหวนงูนาคบาศก์ นิยมมาก จึงสร้างติดต่อกันมาตลอด เพราะหลวงพ่อต้องการให้มีเพียงพอสำหรับผู้มาทำบุญ เนื่องจาก “ประสบการณ์” อันสูงยิ่ง จึงไม่มีใครเกี่ยงเรื่องรุ่น เพราะส่วนใหญ่ประสบการณ์ด้านวัตถุมงคลมักเกิดกับวัตถุมงคลประเภท แหวน และสิงห์ (ราคาถูก) เป็นส่วนมาก การจะทราบคือต้องสังเกตใต้ท้องวงที่มักจะตอกอักษรไว้ว่า ส.บ. หรือไม่ก็ ล.บ. เป็นเอกลักษณ์ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อสมบุญ เป็นพระเถระที่มีเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้ถ่อมตนไม่โอ้อวดคุณวิเศษในตัวเอง ที่เด่นชัดคือประสบการณ์ในวัตถุมงคลของท่าน ล้วนแต่เป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าท่านมีดีเกินตัว แต่ท่านชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างพระธรรมดา เวลาวัตถุมงคลที่ศิษย์นำไปใช้ได้ผลในทางความขลัง รายแล้วรายเล่าย้อนกลับมากล่าวขวัญสรรเสริญให้ท่านฟัง ท่านกลับถ่อมตนจนเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะ แหวนนิ้ว ของท่านนับว่ามีประสบการณ์เรื่องอสรพิษกันมากราย ดังเช่นเหยียบงูเห่า งูจงอาง แต่ปรากฏว่างูไม่สามารถอ้าปากกัดได้ บางรายถูกงูแมวเซากัด บางรายถูกงูจงอางกัด แต่งูพิษกัดศิษย์ท่านไม่เข้า เมื่อรอดตายแล้วยังมาเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็พูดว่า งูมันบ่มีแข่ว (ฟัน) ไปเหยียบหัวมันไว้บ้าง งูมันตาฟางบ้าง มันจะกัดได้จังได๋ เมื่อครั้งที่หมูป่ากัดชาวบ้านไม่เข้าเพราะสวมแหวนของท่านที่นิ้ว ท่านก็บอกว่า หมูมันเฒ่า (แก่) แข่ว (ฟัน) มันหักบ้าง แข่วมันหร่อง (หรอ) จึงกัดบ่เข้า ที่หนักหนายิ่งกว่าคือ มีศิษย์บางรายประพฤติตัวไม่ดี เป็นนักค้ายา ถูกเจ้าหน้าที่ยิงไม่เข้า เมื่อรอดมาได้จึงกลับมากราบที่ท่านช่วยชีวิตไว้ ศิษย์ใกล้ชิดที่ทราบความเป็นไปจึงท้วงติงในภายหลังว่า ท่านกำลังช่วยคนผิด ช่วยคนชั่วให้รอดชีวิต เพื่อเป็นภัยสังคมต่อไป เมื่อถามว่า หลวงพ่อไปช่วยมันไว้ทำไม ท่านก็ตอบศิษย์ไปว่า มันบ่ได้เขียนหนังสือติดหน้าผากไว้ว่า มันเป็นคนดีหรือเป็นคนบ่ดีนี่หว่า มันมากราบเฮา เฮาก็ให้ศีลให้พรมันไป ศิษย์ที่ถามพยายามไล่ให้ท่านจนแต้ม โดยบอกว่า มันจะย่ามใจในภายหลัง ท่านก็อธิบายว่า กรรมดีของมันทำไว้แต่อดีตยังคุ้มครองมันอยู่ ถ้ากรรมดีมันหมดสิ้นเมื่อไหร่ ตัวกูหรืออีหยังก็ช่วยมันบ่ได้ดอก หลายครั้งที่พระเถระผู้ใหญ่หรือคณะปกครองในท้องถิ่นสอบถามถึงความขลังของหลวงพ่อ ท่านจะยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า วัตถุมงคลอีหยังก็สู้ความดีบ่ได้ดอก หมั่นเฮ็ดความดีไว้เถิด ความดีนี่แหละที่จะช่วยคุ้มครองเราเอง

    เมื่อว่าด้วยการสละหรือการให้ รวมกับสติปัญญาอันสูงส่งหลวงพ่อ จึงเป็นดั่งพระผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐตามหัวข้อข้างต้น เหมือนคำของท่านคำหนึ่งซึ่งหลุดจากปากระหว่างการสนทนากับ บรรณาธิการ ลานโพธิ์ สุธน ศรีหิรัญ ในช่วงหนึ่งว่า ถ้าไม่มีความดี ถึงอยู่เป็นร้อยปี ก็ไม่มีประโยชน์ กราบหลวงพ่อครั้งที่ 2 ในเมตตาธรรมอันล้นเหลือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น